ความเป็นมา
ปรัชญาวิทยาศาสตร์ดั้งเดิม ความรู้วิทยาศาสตร์ หมายถึง
ความจริงหรือข้อเท็จจริงที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ ซึ่งได้จากการตรวจสอบ
การค้นคว้าทดลองอย่างเป็นระบบ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาวิทยาศาสตร์แนวใหม่ ความรู้วิทยาศาสตร์
เป็นความรู้ที่เกิดจากการสรรสร้างของแต่ละบุคคล
ซึ่งมีอิทธิพลมาจากความรู้หรือประสบการณ์เดิม
และสิ่งแวดล้อมหรือบริบทของสังคมของแต่ละคน
ทฤษฎีการสร้างเสริมความรู้ (Constructivism) เชื่อว่านักเรียนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างมาแล้วไม่มากก็น้อย
ก่อนที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้เน้นว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนรู้เอง
และการเรียนรู้เรื่องใหม่จะมีพื้นฐานมาจากความรู้เดิม ดังนั้น
ประสบการณ์เดิมของนักเรียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
กระบวนการเรียนรู้ (Process of Leaning)
ที่แท้จริงของนักเรียนไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครู
หรือนักเรียนเพียงแต่จดจำแนวคิดต่าง ๆ ที่มีผู้บอกให้เท่านั้น
แต่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎี Constructivism เป็นกระบวนการที่นักเรียนจะต้องสืบค้นเสาะหา สำรวจตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่างๆ
จนทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้นั้นอย่างมีความหมาย
จึงจะสามารถเป็นองค์ความรู้ของนักเรียนเอง
และเก็บเป็นข้อมูลไว้ในสมองได้อย่างยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใด ๆ
มาเผชิญหน้า ดังนั้นการที่นักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ได้
ต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
(Inquiry Process)
แนวคิดของเพียเจต์ (Piaget)
เกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิด
คือ
การที่คนเรามีปะทะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด และการปะทะสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมนี้มีผลทำให้ระดับสติปัญญาและความคิด
มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางสติปัญญาและความคิดมี
2 กระบวนการ คือ การปรับตัว (Adaptation)
และการจัดระบบโครงสร้าง (Organization)
การปรับตัวเป็นกระบวนการที่บุคคลหาหนทางที่จะปรับสภาพความไม่สมดุลทางความคิดให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ
ๆ ตัว และเมื่อบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
โครงสร้างทางสมองจะถูกจัดระบบให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
มีรูปแบบของความคิดเกิดขึ้น กระบวนการปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ 2
ประการคือ
1) กระบวนการดูดซึม (Assimilation) หมายถึง
กระบวนการที่อินทรีย์ซึมซาบประสบการณ์ใหม่เข้าสู่ประสบการณ์เดิมที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน
แล้วสมองก็รวบรวมปรับเหตุการณ์ใหม่ให้เข้ากับโครงสร้างของความคิดอันเกิดจากการเรียนรู้ที่มีอยู่เดิม
2) กระบวนการปรับขยายโครงสร้าง
(Accomodation)
เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องมาจากกระบวนการดูดซึม คือ
ภายหลังจากที่ซึมซาบของเหตุการณ์ใหม่เข้ามา
และปรับเข้าสู่โครงสร้างเดิมแล้วถ้าปรากฏว่าประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับการซึมซาบเข้ามาให้เข้ากับประสบการณ์เดิมได้
สมองก็จะสร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อปรับให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่นั้น
ความหมายและแนวคิดเกี่ยวกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry
Method)
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้มีผู้ให้ความหมายและแนวคิดหลากหลาย
ดังนี้
อนันต์ จันทร์กวี (2523)
กล่าวว่า
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักคิดด้วยตนเอง
รู้จักค้นคว้าหาเหตุผล และสามารถแก้ปัญหาได้ โดยการนำเอาวิธีการต่างๆ
ของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ นอกจากนี้ยังเป็นการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้วย
สุวัฒน์ นิยมค้า (2531)
กล่าวว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นการสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้า
หรือสืบเสาะหาความรู้เกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นักเรียนยังไม่เคยมีความรู้ในสิ่งนั้นมาก่อน
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ
ดวงเดือน เทศวานิช (2535) กล่าวว่า
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นทักษะการคิดอย่างมีระบบ
โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ซึ่งต้องมีหลักฐานสนับสนุน
วิธีนี้เป็นวิธีที่นักเรียนพิจารณาเหตุผล สามารถใช้คำถามที่ถูกต้องและคล่องแคล่วสามารถสร้างและทดสอบสมมติฐานด้วยการทดลอง
และตีความจากการทดลองด้วยตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับคำอธิบายของครู
เป็นวิธีการที่ช่วยให้นักเรียนมีระบบวิธีการแก้ปัญหาในทางวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง
สมจิต สวธนไพบูลย์ (2541) กล่าวว่า หลักการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้
จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ส่วนครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกแนะนำและให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น
ประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ ได้แก่ การสำรวจ และการสร้างองค์ความรู้
มนมนัส สุดสิ้น (2543)
สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการหนึ่งที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้
คิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองอย่างมีระบบของการคิด
ใช้กระบวนการของการค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งประกอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ครูมีหน้าที่จัดบรรยากาศ
การสอนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ คิดแก้ปัญหาโดยใช้การทดลอง
และอภิปรายซักถามเป็นกิจกรรมหลักในการสอน
ชลสีต์ จันทาสี (2543)
สรุปความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการที่มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
โดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ ซึ่งครูมีหน้าที่เพียงเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ
จัดเตรียมสภาพการณ์และกิจกรรมให้เอื้อต่อกระบวนการที่ฝึกให้คิดหาเหตุผล สืบเสาะหาความรู้
รวมทั้งการแก้ปัญหาให้ได้โดยใช้คำถามและสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ เช่น ของจริง
สถานการณ์ ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติการสำรวจ ค้นหาด้วยตนเอง
บรรยากาศการเรียนการสอนให้นักเรียนมีอิสระในการซักถาม การอภิปรายและมีแรงเสริม
อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสอนให้นักเรียนคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาได้นั่นเอง
กู๊ด (Good. 1973)
ได้ให้ความหมายของการสอนแบบการสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็นเทคนิคหรือกลวิธีอย่างหนึ่งในการจัดให้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างของวิชาวิทยาศาสตร์
โดยกระตุ้นให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็น เสาะแสวงหาความรู้โดยการถามคำถาม
และพยายามค้นหาคำตอบให้พบด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นวิธีการเรียนโดยการแก้ปัญหาจากกิจกรรมที่จัดขึ้น
และใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการทำกิจกรรม ซึ่งปรากฏการณ์ใหม่ ๆ
ที่นักเรียนเผชิญแต่ละครั้ง
จะเป็นตัวกระตุ้นการคิดกับการสังเกตกับสิ่งที่สรุปพาดพิงอย่างชัดเจน ประดิษฐ์
คิดค้น ตีความหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด
การใช้วิธีการอย่างชาญฉลาดสามารถทดสอบได้ และสรุปอย่างมีเหตุผล
ซันด์และโทรวบริดจ์ (Sun
and Trowbridge. 1973) สรุปลักษณะของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ว่า
เป็นการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สร้างมโนทัศน์ด้วยตนเอง
และเป็นการพัฒนาความสามารถด้านต่างๆ ของนักเรียน เช่น ความสามารถทางวิธีการ
ทักษะทางสังคม ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องให้อิสระและให้ผู้เรียนมีโอกาสคิด
และเป็นการเรียนที่เน้นการทดลอง เพื่อให้ผู้เรียน ค้นพบด้วยตนเอง และการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้จะกำหนดเวลาสำหรับการเรียนรู้
ซานดรา เค เอเบล (Sandra
K. Abell. 2002) ได้กล่าวถึงความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ตามที่ NSES และ AAAS นิยามไว้ ดังนี้
NSES (National
Science Education Standards) ได้ให้ความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็นกิจกรรมที่หลากหลายเกี่ยวกับการสังเกต
การถามคำถาม การสำรวจตรวจสอบจากเอกสารและแหล่งความรู้อื่น ๆ
การวางแผนการสำรวจตรวจสอบ
การทดสอบตรวจสอบหลักฐานเพื่อเป็นการยืนยันความรู้ที่ได้ค้นพบมาแล้ว
การใช้เครื่องมือในการรวบรวม การวิเคราะห์ และการแปลความหมายข้อมูล การนำเสนอผลงาน
การอธิบายและการคาดคะเน
และการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับผลงานที่ได้
AAAS
(American Association for the Advancement of Science) ได้ให้ความหมายการสืบเสาะหาความรู้ว่า
เริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติพร้อมทั้งกระตุ้นนักเรียนให้ตื่นเต้นสงสัยใคร่รู้ให้นักเรียนตั้งใจรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน
ครูเตรียมข้อมูลเอกสารความรู้ต่างๆ ที่มีคนศึกษาค้นคว้ามาแล้ว
เพื่อให้นักเรียนเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่
หรือเพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนลึกซึ้งขึ้นให้นักเรียนอธิบายให้ชัดเจน ไม่เน้นความจำเกี่ยวกับศัพท์ทางวิชาการ
และใช้กระบวนการกลุ่ม
ดังนั้นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry process) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง
โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติ และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ
ระดับของการสืบเสาะหาความรู้ (Level of inquiry) แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ
1) การสืบเสาะหาความรู้แบบยืนยัน (Confirmed Inquiry) เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้ตรวจสอบความรู้หรือแนวคิด
เพื่อยืนยันความรู้หรือแนวคิดที่ถูกค้นพบมาแล้ว โดยครูเป็นผู้กำหนดปัญหาและคำตอบ
หรือองค์ความรู้ที่คาดหวังให้ผู้เรียนค้นพบ
และให้ผู้เรียนทำกิจกรรมที่กำหนดในหนังสือหรือใบงาน หรือตามที่ครูบรรยายบอกกล่าว
2) การสืบเสาะหาความรู้แบบนำทาง (Directed
Inquiry) เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง
โดยครูเป็นผู้กำหนดปัญหา และสาธิตหรืออธิบายการสำรวจตรวจสอบ
แล้วให้ผู้เรียนปฏิบัติการสำรวจตรวจสอบตามวิธีการที่กำหนด
3)
การสืบเสาะหาความรู้แบบชี้แนะแนวทาง (Guided Inquiry) เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง
โดยผู้เรียนเป็นผู้กำหนดปัญหา และครูเป็นผู้ชี้แนะแนวทางการสำรวจตรวจสอบ
รวมทั้งให้คำปรึกษาหรือแนะนำให้ผู้เรียนปฏิบัติการสำรวจตรวจสอบ
4) การสืบเสาะหาความรู้แบบเปิด (Open Inquiry) เป็นการสืบเสาะหาความรู้ที่ให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง
โดยให้ผู้เรียนมีอิสระในการคิด เป็นผู้กำหนดปัญหา ออกแบบ
และปฏิบัติการสำรวจตรวจสอบด้วยตนเอง
จิตวิทยาที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
1)
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์นั้นผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นต่อเมื่อผู้เรียนได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้นหาความรู้นั้น
ๆ มากกว่าการบอกให้ผู้เรียนรู้
2)
การเรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุด
เมื่อสถานการณ์แวดล้อมในการเรียนรู้นั้นยั่วยุให้ผู้เรียนอยากเรียน
ไม่ใช่บีบบังคับผู้เรียน
และครูต้องจัดกิจกรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการค้นคว้าทดลอง
3) วิธีการนำเสนอของครู จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด
มีความคิดสร้างสรรค์ ให้โอกาสผู้เรียนได้ใช้ความคิดของตนเองมากที่สุด
ทั้งนี้กิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนทำการสำรวจตรวจสอบจะต้องเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
และผู้เรียนมีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะแสวงหาความรู้ใหม่
โดยกิจกรรมที่จัดควรเป็นกิจกรรมนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ หรือแสวงหาความรู้ใหม่
รูปแบบการสอนแบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้
(Inquiry Cycle)
นักการศึกษาจากกลุ่ม BSCS
(Biological Science Curriculum Society) ได้เสนอกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
เพื่อให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่
โดยเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้เข้ากับประสบการณ์หรือความรู้เดิม
เป็นความรู้หรือแนวคิดของผู้เรียนเอง เรียกรูปแบบการสอนนี้ว่า Inquiry
cycle หรือ 5Es มีขั้นตอนดังนี้
(BSCS. 1997)
1) การสร้างความสนใจ (Engage) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการเรียนรู้ที่จะนำเข้าสู่บทเรียน
จุดประสงค์ที่สำคัญของขั้นตอนนี้ คือ ทำให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ในกิจกรรมที่จะนำเข้าสู่บทเรียน
ควรจะเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมกับปัจจุบัน
และควรเป็นกิจกรรมที่คาดว่ากำลังจะเกิดขึ้น
ซึ่งทำให้ผู้เรียนสนใจจดจ่อที่จะศึกษาความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทักษะ
และเริ่มคิดเชื่อมโยงความคิดรวบยอด กระบวนการ หรือทักษะกับประสบการณ์เดิม
2) การสำรวจและค้นหา (Explore) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ร่วมกันในการสร้างและพัฒนาความคิดรวบยอด
กระบวนการ และทักษะ
โดยการให้เวลาและโอกาสแก่ผู้เรียนในการทำกิจกรรมการสำรวจและค้นหาสิ่งที่ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ตามความคิดเห็นผู้เรียนแต่ละคน
หลังจากนั้นผู้เรียนแต่ละคนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการคิดรวบยอด
กระบวนการ และทักษะในระหว่างที่ผู้เรียนทำกิจกรรมสำรวจและค้นหา
เป็นโอกาสที่ผู้เรียนจะได้ตรวจสอบหรือเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความคิดรวบยอดของผู้เรียนที่ยังไม่ถูกต้องและยังไม่สมบูรณ์
โดยการให้ผู้เรียนอธิบายและยกตัวอย่างเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เรียน
ครูควรระลึกอยู่เสมอเกี่ยวกับความสามารถของผู้เรียนตามประเด็นปัญหา
ผลจากการที่ผู้เรียนมีใจจดจ่อในการทำกิจกรรม
ผู้เรียนควรจะสามารถเชื่อมโยงการสังเกต การจำแนกตัวแปร
และคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นได้
3) การอธิบาย (Explain) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนาความ
สามารถในการอธิบายความคิดรวบยอดที่ได้จากการสำรวจและค้นหา
ครูควรให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับทักษะหรือพฤติกรรมการเรียนรู้
การอธิบายนั้นต้องการให้ผู้เรียนได้ใช้ข้อสรุปร่วมกันในการเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้
ในช่วงเวลาที่เหมาะสมนี้ครูควรชี้แนะผู้เรียนเกี่ยวกับการสรุปและการอธิบายรายละเอียด
แต่อย่างไรก็ตามครูควรระลึกอยู่เสมอว่ากิจกรรมเหล่านี้ยังคงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
นั่นคือ ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอธิบายด้วยตัวผู้เรียนเอง
บทบาทของครูเพียงแต่ชี้แนะผ่านทางกิจกรรม
เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสอย่างเต็มที่ในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้ชัดเจน
ในที่สุดผู้เรียนควรจะสามารถอธิบายความคิดรวบยอดได้อย่างเข้าใจ
โดยเชื่อมโยงประสบการณ์ ความรู้เดิมและสิ่งที่เรียนรู้เข้าด้วยกัน
4) การขยายความรู้ (Elaborate) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนได้ยืนยันและขยายหรือเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะและปฏิบัติตามที่ผู้เรียนต้องการ
ในกรณีที่ผู้เรียนไม่เข้าใจหรือยังสับสนอยู่หรืออาจจะเข้าใจเฉพาะข้อสรุปที่ได้จากการปฏิบัติการสำรวจและค้นหาเท่านั้น
ควรให้ประสบการณ์ใหม่ผู้เรียนจะได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจในความคิดรวบยอดให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เป้าหมายที่สำคัญของขั้นนี้ คือ
ครูควรชี้แนะให้ผู้เรียนได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
จะทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอด กระบวนการ และทักษะเพิ่มขึ้น
5) การประเมินผล (Evaluate) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการอธิบายความรู้ความเข้าใจของตนเอง
ระหว่างการเรียนการสอนในขั้นนี้ของรูปแบบการสอน
ครูต้องกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินความรู้ความเข้าใจและความสามารถของตนเอง
และยังเปิดโอกาสให้ครูได้ประเมินความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะของผู้เรียนด้วย
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
รายวิชาพื้นฐาน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555
หน่วยการเรียนรู้
เรื่อง สมบัติจำนวนนับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
เรื่อง
การแยกตัวประกอบ เวลา 1 ชั่วโมง
มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด
0มาตรฐาน
ค 1.4 เข้าใจในระบบจำนวนและสามารถนำสมบัติเกี่ยวกับจำนวนไปใช้ได้
ม.1/1 เข้าใจสมบัติต่างๆเกี่ยวกับระบบจำนวนเต็มและนำไปใช้แก้ปัญหาได้
สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด
การแยกตัวประกอบของจำนวนนับใดๆคือประโยคที่แสดงการเขียนจำนวนนับนั้นในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ
คำถามสำคัญ
การแยกตัวประกอบของจำนวนนับมีกี่วิธี
แต่ละวิธีมีลักษณะอย่างไร
จุดประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้
นักเรียนสามารถ
1. อธิบายความหมายของการแยกตัวประกอบได้
2. สามารถแยกตัวประกอบของจำนวนนับด้วยวิธีตั้งหารและแผนภาพต้นไม้ได้
ด้านทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
นักเรียนสามารถ
1. การแก้ปัญหา : ใช้ความรู้เรื่องตัวประกอบ
จำนวนเฉพาะ จำนวนคู่จำนวนคี่ ในการ
อธิบายความหมายและลักษะของการแยกตัวประกอบ
2. การให้เหตุผล : ให้เหตุผลเกี่ยวกับลักษณะของการแยกตัวประกอบ
3. การสื่อสาร สื่อความหมายและการนำเสนอ : การสื่อสาร
สื่อความหมายในการ
อธิบายเกี่ยวกับความหมายและลักษณะของการแยกตัวประกอบได้
4. การเชื่อมโยง : เชื่อมโยงความรู้ทางคณิตศาสตร์กับการแยกตัวประกอบได้อย่างเหมาะสม
ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์
นักเรียนเป็นผู้ที่
1. มีความสนใจและเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย
2. กล้าคิด กล้าแสดงออกถึงแนวคิดและเหตุผลของตนเองด้วยความเชื่อมั่น
3. มีความรับผิดชอบ ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
4. ทำงานที่ได้รับมอบหมายตรงตามเวลา
5. มีความละเอียดรอบคอบในการทำงาน
สาระการเรียนรู้ การแยกตัวประกอบของจำนวนนับใดๆคือประโยคที่แสดง
การเขียนจำนวนนับนั้นในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ
ประโยค 24 = 2 × 2 × 2 × 3 แสดงการเขียน 24 ในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ เราเรียกประโยคนี้ว่า การแยกตัวประกอบของ 24
|
พิจารณาตารางต่อไปนี้
และเติมช่องว่างให้สมบูรณ์ การแยกตัวประกอบ เขียนในรูปการคูณ
|
การแยกตัวประกอบ
เขียนในรูปเลขยกกําลัง
|
เลข ยกกําลัง
|
ฐาน
|
เลขชี้กําลัง
|
อ่าน
เลขยกกําลัง
|
64
=2×2×2×2×2×2
81 = 3 × 3 × 3 × 3 125 = 5 × 5 × 5 |
64 = 2
6
81 = 3 4
125 = 5 3
|
2ยกกำลัง6
3ยกกำลัง4 5ยกกำลัง3 |
2
3
5
|
6
4
3
|
สองยกกําลังหก
สามยกกำลังสี่ ห้ายกกำลัง สาม |
การหาตัวคูณซึ่งเป็นตัวประกอบเฉพาะ ทำได้ดังนี้
วิธีที่ 1 โดยวิธีตั้งหาร จงแยกตัวประกอบของ 360 โดยวิธีตั้งหาร
2) 360
……………………
2) 180
…………………..
2) 90
…………………..
3 ) 45
…………………..
3 ) 15
……………………
5
……………………..
ดังนั้น 360 = 2 × 2 × 2 × 3 × 3 × 5
วิธีที่ 2 โดยใช้แผนภาพ จงแยกตัวประกอบของ 136 เขียนแผนภาพได้ดังนี้
136 หรือ 136 2 × 68 4 × 34 2 × 2 × 34 2 × 2× 2 × 17 2 × 2 × 2 ×
17 ดังนั้น
136 = 2 × 2 × 2
× 17
พิจารณาการแยกตัวประกอบต่อไปนี้ 32 = 2 × 2 × 2 × 2 × 2 จะเห็นว่ามี 2 คูณกันอยู่ 5 ตัว เขียนแทนด้วย 25 สัญลักษณ์ 25 อ่านว่า สองยกกําลังห้า เรียกว่า เลขยกกําลังที่มี 2 เป็นฐาน และ 5 เป็นเลขชี้กําลัง อ่านว่า สองยกกำลังห้า
ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ใช้การประเมินเชิงคุณภาพในภาพรวม โดยพิจารณาจากความตั้งใจและเอาใจใส่ต่อการเรียนและงานที่ได้รับมอบหมาย กล้าแสดงความคิดเห็นถึงแนวคิดของตนเองอย่างมั่นใจ เป็นการประเมินคุณภาพเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน โดยไม่มีการให้คะแนน
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นการสร้างความสนใจ
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาทบทวนเกี่ยวกับเรื่อง การแยกตัวประกอบ โดยให้นักเรียนดูและพิจารณาจำนวนนับในใบความรู้ที่ 1เรื่อง ความหมายของการแยกตัวประกอบ จากนั้น ให้นักเรียนเขียนประโยคแสดงจำนวนนับในรูปผลคูณ โดยให้มีผลลัพธ์เท่ากับจำนวนนับที่ครูกำหนดไว้ จากนั้นครูตั้ง คำถามเพื่อกระตุ้นความคิดของนักเรียน ดังนี้
1) นักเรียนสามารถเขียนประโยคในรูปการคูณของจำนวนนับได้กี่รูปแบบ (2 รูปแบบ)
2) รูปการคูณในแต่ละแบบของการคูณจำนวนนับนั้นแตกต่างกันอย่างไร(แบบที่1เป็นการคูณจำนวนที่ไม่ใช่จำนวนเฉพาะทั้งหมด แต่แบบที่ 2 อยู่ในรูปของการคูณจำนวนเฉพาะทั้งหมด)
3) จำนวนนับที่เขียนในรูปการคูณในแบบที่2จำนวนนับนั้นมีลักษณะอย่างไร(จำนวนนับนั้นเป็นจำนวนเฉพาะ)
4) ประโยครูปการคูณที่มีแต่จำนวนเป็นจำนวนตัวประกอบเฉพาะเรียกว่าอะไร(การแยกตัวประกอบของจำนวนนับ)
2.ครูเขียนประโยคการคูณของจำนวนนับแล้วให้นักเรียนพิจารณารูปการคูณที่ครูเขียนแล้วตั้งคำถามกระตุ้นความคิดของนักเรียนดังนี้ พิจารณาประโยคต่อไปนี้
1) 30 = 2×15 2) 49 = 7× 7 3) 80 = 2× 2× 2 ×2×
5 4) 240 = 2× 2× 2×30 1) ประโยคการคูณประโยคใดบ้างที่เขียนในรูปการแยกตัวประกอบ (ประโยคที่ 2, 3)
2) เพราะเหตุใดประโยคที่ 1 และ 4 จึงไม่อยู่ในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ (เพราะ 15 และ 30 ไม่ใช่จำนวนเฉพาะเพราะสามารถแยกในรูปการคูณของจำนวนเฉพาะได้อีก)
3.ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปเกี่ยวกับประโยคที่แสดงในรูปการคูณของจำนวนนับที่เป็นตัวประกอบเฉพาะการแยกตัวประกอบของจำนวนนับใดๆคือประโยคที่แสดงการเขียนจำนวนนับนั้นในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ
4. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบเมื่อเรียนจบชั่วโมงนี้แล้วนักเรียนสามารถแยกตัวประกอบของจำนวนนับด้วยวิธีตั้งหารและวิธีแผนภาพต้นไม้ ได้
ขั้นการสำรวจและค้นหา
5. แบ่งกลุ่มนักเรียนคละความสามารถกลุ่มละ 4 - 6 คน เป็นนักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 3-4 คน และนักเรียนอ่อน 1 คน
6. ตัวแทนรับใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารและวิธีแผนภาพต้นไม้ แล้วปฏิบัติตามคำชี้แจง นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบความรู้ที่ 2 เรื่อง การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารและวิธีแผนภาพต้นไม้ แล้วร่วมกันฝึกฝน ทบทวนและทำความเข้าใจร่วมกันแล้วทำแบบฝึกปฏิบัติที่ 1 เรื่อง การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารแบบฝึกปฏิบัติที่ 2 เรื่องการแยกตัวประกอบโดยวิธีแผนภาพต้นไม้ คนเก่งต้องช่วยคนเรียนอ่อนสมาชิกต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันสมาชิกในกลุ่มต้องอธิบายได้เตรียมพร้อมที่จะทดสอบรายบุคคล
ขั้นการอธิบาย
7. ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการศึกษา โดยสุ่มนักเรียนนำเสนอผลการศึกษาและถ้านักเรียนนำเสนอไม่ครอบคลุมหรือไม่ชัดเจน โดยครูตั้งคำถามปลายเปิดให้นักเรียน อาทิ
1) ให้นักเรียนบอกการแยกตัวประกอบมีกี่วิธี
2) บอกเป็นขั้นตอนแต่ละวิธี
ขั้นการขยายความรู้
8. สอบนักเรียนเป็นรายบุคคลโดยใช้แบบทดสอบที่ 1 เรื่อง การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารและแผนภาพต้นไม้
9. นำผลคะแนนของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่มแล้วเฉลี่ยเป็นคะแนนรายบุคคล
ขั้นการประเมินความรู้
10. นักเรียนทุกคนบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก การศึกษาใบความรู้ แบบฝึกปฏิบัติ แบบทดสอบลงในสมุด ครูตรวจสอบแล้วบันทึกคะแนน เสนอแนะให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมในหนังสือเรียนหรือแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน
สื่อการเรียนรู้ / แหล่งการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้
1. ใบความรู้ที่ 1 ความหมายของการแยกตัวประกอบ
2. ใบความรู้ที่ 2 การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารและแผนภาพต้นไม้
3. แบบฝึกปฏิบัติที่ 1 เรื่อง
การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารและแผนภาพต้นไม้
4. แบบฝึกปฏิบัติที่ 2 เรื่อง
การแยกตัวประกอบโดยแผนภาพต้นไม้
5. แบบทดสอบที่ 1 เรื่อง
การแยกตัวประกอบโดยวิธีตั้งหารและแผนภาพต้นไม้
6. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานคณิตศาสตร์ เล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
แหล่งการเรียนรู้
1. ห้องสมุดโรงเรียนกุดชุมวิทยาคม
2. ห้องสมุดกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนกุดชุมวิทยาคม
บันทึกหลังการเรียนการสอน
1. ผลที่เกิดจากการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ปัญหา / อุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. แนวทางแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ลงชื่อ……………………………………ผู้บันทึก
(นางจริยาภรณ์ พรมเสน)
ตำแหน่ง ครู
วันที่….เดือน…………………….พ.ศ. …….
ความคิดเห็นของรองผู้อำนวยการกลุ่มงานบริหารงานวิชาการ
........................................................................................................................
.......................................................................................................................
......................................................................................................................
ลงชื่อ…………………………
(นายพิเชษฐ์ เทียมชัยภูมิ)
รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ
วันที่...... เดือน............... พ.ศ.
……..
ความคิดเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียน.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ (นายไตรสรณ์ สุวพงษ์)
ผู้อำนวยการโรงเรียนกุดชุมวิทยาคม
ที่มา
protkru.(2554).https://sites.google.com/site/naranya2010/1.[Online]เข้าถึงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561.
เอกสารการอบรมการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน
สาขาชีววิทยา สสวท.(2552).http://physics.science.cmu.ac.th/teacherworkshop/2552/whatis.htm.[Online]เข้าถึงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561.
นางจริยาภรณ์ พรมเสน.(2555).http://www.anantasook.com/lesson-plan-for-teacher/.[Online]เข้าถึงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น